เริ่มต้น
พรบ.นี้ มีผลบังคับใช้เมื่อไร .... ตาม มาตรา 2 ระบุไว้ว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป” ซึ่ง พรบ.ฉบับนี้ประกาศเมื่อ วันที่ 19 เมษายน 2561 นั่นคือ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 20 เมษายน 2561
นี้เอง
ประเด็นที่น่าสนใจ
และคิดว่าหน่วยงานระดับตำบล เช่น รพ.สต. ควรศึกษาไว้บ้าง ในที่นี้พอจะนำมาเสนอในส่วนที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้อง พอคร่าว
ๆ ดังนี้
เริ่มจาก หมวด 3 “วินัยการเงิน
การคลัง” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ พรบ.นี้
ใน
ส่วนที่ 1 กล่าวถึง “รายได้” ดูที่ มาตรา 34 วรรคหนึ่ง “ บรรดาเงินที่หน่วยงานของรัฐจัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ไม่ว่าจะได้รับ ตามกฎหมาย ระเบียบ
หรือข้อบังคับ หรือได้รับชำระตามอำนาจหน้าที่หรือสัญญา หรือได้รับจาก การให้ใช้ทรัพย์สินหรือเก็บดอกผลจากทรัพย์สินของราชการ
ให้นำส่งคลังตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น “
ในประเด็นนี้
ต้องรอดูว่าหน่วยงานระดับ รพ.สต.จะต้องดำเนินการหรือไม่อย่างไร คงต้องรอดูระเบียบที่เกี่ยวข้องออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนที่
2 กล่าวถึง “รายจ่าย”
มีมาตราที่น่าสนใจคือ มาตรา 37,38 ,43
มาตรา
37 วรรคที่สอง
กล่าวถึง ความโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด “การก่อหนี้ผูกพันและการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่หรือการดำเนินงาน
ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย
ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และ ประสิทธิภาพของหน่วยงานของรัฐ
และต้องเป็นไปตามรายการและวงเงินงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงาน ของรัฐนั้นด้วย ”
มาครบเลย ทั้งเป้าหมาย
ประโยชน์ที่ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ รวมถึงประสิทธิภาพ
มาตรา
38 “ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงินมีหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือกฎ
หรือตามที่ได้รับอนุญาตให้จ่าย” นั่นคือให้ผู้มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงิน
มีหน้าที่ตรวจสอบการจ่ายเงินด้วยนั่นเอง
มาตรา 43 “การก่อหนี้ที่ผูกพันการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือเงินอื่นของหน่วยงานของรัฐ
ต้องพิจารณาภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นและข้อผูกพันในการชำระเงินตามสัญญา
และประโยชน์ที่รัฐจะได้รับด้วย” มาตรานี้
เข้าใจว่าน่าจะใช้เพื่อป้องกันการสร้างภาระหนี้สินของภาครัฐในอนาคต โดยกำหนดว่าต้องพิจารณาภาระทางการเงิน
และประโยชน์ที่รัฐจะได้รับด้วย
ส่วนที่
3
“การจัดให้ได้ซึ่งมาทรัพย์สินและการบริหารทรัพย์สินของรัฐ” มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
มาตรา
46 เขียนไว้ว่า “การบริหารเงินคงคลังให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง โดยต้องรักษาไว้ในระดับที่จำเป็น
เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการเบิกจ่ายเพื่อการดำเนินงานของ หน่วยงานของรัฐ โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการบริหารสภาพคล่องด้วย”
ในส่วนนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องลงมาถึงระดับ รพสต.หรือไม่
มาตรา
47 “นอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๔๔ แล้ว การบริหารจัดการเงินของหน่วยงานของรัฐหรือที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของหน่วยงานของรัฐ
ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและ รอบคอบ โดยมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วย”
ในส่วนนี้ มองว่า น่าจะเป็นการให้มีการควบคุมภายใน
โดยการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
มาตรา
48
“การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
หรือตามกฎระเบียบ ของหน่วยงานของรัฐโดยเคร่งครัด
โดยต้องดำเนินการด้วยความสุจริต คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล และตรวจสอบได้” ในมาตรานี้เขียนไว้ให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับที่กล่าวถึง
ส่วนที่
5 กล่าวถึง "เงินนอกงบประมาณ
ฯ "
มาตรา
61 ในวรรคแรก เขียนไว้ว่า “เงินนอกงบประมาณให้มีเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ หรือ การดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของการมีเงินนอกงบประมาณนั้น
ทั้งนี้ ให้นำความในมาตรา 37
วรรคสอง มาใช้บังคับกับการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณด้วยโดยอนุโลม”
ในประเด็นที่เขียนว่า “ให้มีเท่าที่จำเป็นนี้”
อาจต้องมีการขยายความเพิ่มเติมกันอีก สมมติว่า หากมีผลถึงหน่วยงานระดับ รพสต. จะมีผลเป็นอย่างไรบ้าง
วรรคสอง
เขียนว่า “เงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ให้นำมาฝากไว้ที่กระทรวงการคลัง เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นหรือได้ทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นอย่างอื่น” ถ้าอ่านกันตามอักษร ความหมายคือ
ต้องนำเงินนอกงบประมาณไปฝากไว้ที่กระทรวงการคลังครับ แต่ก้อยังไม่ทราบวงเงินระดับไหนที่ต้องนำฝาก
คงต้องรอดูว่าจะมีการทำความตกลงเป็นอย่างไว้ไว้หรือไม่
และหน่วยงานระดับ รพ.สต. ต้องดำเนินการอย่างไรหรือไม่ ดูต่อวรรคถัดไป
วรรคที่สาม
“เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
เงินนอกงบประมาณนั้นเมื่อได้ใช้จ่ายในการปฏิบัติ หน้าที่หรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์จนบรรลุวัตถุประสงค์แห่งการนั้นแล้ว
มีเงินคงเหลือให้นำส่งคลังโดยมิชักช้า ทั้งนี้ การนำเงินส่งคลังให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี”
มาตรา
62 มาตรานี้
เขียนให้อำนาจกับกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า “ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณหรือมีเงินนอกงบประมาณมากเกินสมควร
ให้กระทรวงการคลัง เรียกให้หน่วยงานของรัฐนำเงินดังกล่าวส่งคลัง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี”
ในกรณีนี้ ก้อต้องรอติดตามกันต่อไป ว่าหน่วยงานของ รพ.สต. จะเข้าข่ายนี้ด้วยหรือไม่
ต่อกันที่ หมวด 4 “การบัญชี การรายงาน
และการตรวจสอบ”
มาตรา
68 วรรคแรก “ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐ”
วรรคที่สอง “ ให้หน่วยงานของรัฐที่มิใช่รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียนจัดทำบัญชีและรายงานการเงินตามมาตรฐาน การบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐตามวรรคหนึ่ง” คงต้องรอดูว่าจะมีการปรับระบบบัญชีหรือไม่อย่างไรบ้าง
มาตรา
69 มาตรานี้ น่าสนใจ เขียนไว้ว่า “ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีผู้ทำบัญชีตามหลักเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่กระทรวงการคลังกำหนด เพื่อจัดทำบัญชีและรายงานการเงินตามพระราชบัญญัตินี้” คราวนี้ละครับ
คงจะมีพนักงานการเงินฯ อยู่ตาม รพ.สต.กันบ้าง
มาตรา
70 มาตรานี้
กำหนดหน้าที่ประจำปีไว้ชัดเจน วรรคแรก “ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำรายงานการเงินประจำปีงบประมาณซึ่งอย่างน้อย ต้องประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงินและงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินทั้งเงินงบประมาณ
เงินนอก งบประมาณ และเงินอื่นใด รวมถึงการก่อหนี้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด”
จะเห็นได้ว่า เจตนาคือให้ทุกหน่วยงานจัดทำรายงานประจำปีนั่นเอง
วรรคที่สาม
“ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณหรือตามที่ได้ตกลงกับกระทรวงการคลังตามวรรคสอง ให้หน่วยงานของรัฐนำส่งรายงานตามวรรคหนึ่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อตรวจสอบ และนำส่ง กระทรวงการคลังด้วย”
หมายความว่าต้องส่งรายงานการเงินประจำปี ภายในไม่เกินเดือนธันวาคม
ของปีนั้นๆ ให้กับ “สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.” ซึ่งในส่วน มาตรา 70 นี้ ก้อต้องตามดูกันต่อไป ว่า หน่วยงาน รพสต. ต้องดำเนินการหรือไม่เช่นกัน
ปิดท้ายที่ มาตรา 79 กล่าวถึงการให้มีการตรวจสอบภายใน
การควบคุมภายใน “ให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการตรวจสอบภายใน
การควบคุมภายในและ การบริหารจัดการความเสี่ยง
โดยให้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด” มาครบเครื่องเลยสำหรับมาตรานี้ ทั้งการตรวจสอบภายใน การควบคุมภายใน ซึ่ง รพสต.ก้อถือปฏิบัติกันอยู่แล้ว
พอจะได้สาระกันบ้างไม่มากก้อน้อยตามสมควร ในบางมาตราอาจไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานระดับ รพสต. แต่ก้อควรศึกษาดูกันไว้ จะได้เตรียมตัวปฏิบัติกันถูกตามที่กฎหมายระบุ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน หากประเด็นไหนไม่ถูกต้อง ก้อช่วยแนะนำ จะได้ปรับปรุงแก้ไขครับ
By Admin.
ดาวน์โหลด ; พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
โปรดใช้คำสุภาพ ข้อความสุภาพ